Monday, November 28, 2005

ความคาดหวัง

ทุกคนที่มาหัดเรียนมวยไท่เก๊กมาด้วยความคาดหวังบางอย่าง

บางคนอยากให้ตนเองมีสุขภาพดี
บางคนอยากฝึกสุดยอดวิทยายุทธ์ สามารถนำไปใช้ป้องกันตัวได้
บางคนอยากเรียนมวยไท่เก๊กเพื่อช่วยในการฝึกสมาธิ
บางคนอยากได้ลมปราณ หรือกำลังภายใน
บางคนอยากรักษาอาการเจ็บป่วยหรือโรคเรื้อรัง

ฯลฯ

ทุกคนมาด้วยความคาดหวัง

เมื่อคาดหวัง เราก็จะมีภาพในใจบางอย่าง บางคนก็คิดว่าอาจารย์ที่ดีจะต้องเป็นคนจีนแก่ๆ หนวดเครายาวๆ บางคนก็อยากให้อาจารย์ตีให้ดู หรืออยากฟังเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำพิสดาร

หากเมื่อเรามาเริ่มเรียนมวยไท่เก๊กเข้าจริงๆ สิ่งที่เราได้พบกลับแตกต่างจากที่เราคาดไว้
ในวันแรก อาจารย์อาจจะไม่ได้สอนอะไรคุณมากไปกว่าท่าบริหารอบอุ่นร่างกายง่ายๆ สองสามท่า หรืออาจจะสอนท่าเดินหน้า หรือเดินถอยหลังพื้นฐานอีกสักท่าหรือสองท่า ช่างเป็นท่าที่ง่ายอะไรเช่นนั้น หัดสักห้านาทีเราก็ทำได้แล้ว แต่อาจารย์กลับบอกให้ฝึกท่าง่ายๆ เหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมาจนหมดเวลา แล้วยังสั่งให้กลับไปซ้อมท่าเหล่านี้ที่บ้านอีก
เอาละถึงมันจะเป็นท่าง่ายๆ แต่นักเรียนส่วนมากก็มักจะกระตือรือร้นที่จะฝึก เดินมันทุกวัน สิบห้านาที ครึ่งชั่วโมง เดินหน้าถอยหลังอยู่แค่นั้นแหละ

อาทิตย์ถัดมา มาเรียนเป็นวันที่สอง อาจารย์อาจจะให้เราทบทวนสิ่งที่เคยเรียนไปแล้ว ท่าง่ายๆ นั้นน่ะนะ แล้วท่านก็ให้ฝึกท่าเหล่านั้นซ้ำๆ อีก ท่านอาจจะเพิ่มท่าเดินด้านข้างให้อีกสักท่า

เอาเดินก็เดิน กลับบ้านไปเดินหน้าถอยหลัง เดินข้างอีกครึ่งชั่วโมง

เมื่อถึงเวลาเรียนครั้งที่สาม อาจารย์เริ่มสอนท่ามวย คราวนี้แหละจะได้เรียนของจริงสักที ปรากฏว่า ได้เรียนอยู่สองท่า อะไรกัน ท่าง่ายๆ อย่างนี้

Friday, November 25, 2005

ลำดับท่าการรำมวยไท่เก๊ก

เก๊ก 1

ท่าเตรียม

ยืนตรง แยกขาเล็กน้อยห่างประมาณช่วงไหล่ด้านใน ฝ่าเท้าวางขนานกัน ปลายเท้าชี้ไปข้างหน้า คอตั้งตรง ตามองตรง สองมือวางข้างลำตัวสบายๆ

คีสี่
1. กางนิ้วออกเล็กน้อย
2. กางนิ้วหัวแม่มือขึ้น
3. ค่อยๆ ยกสองแขนขึ้นโดยผ่อนไหล่ ดันศอกขึ้นมา ไม่ให้ใช้แรงที่มือ ฝ่ามือสองข้างหันเข้าหากัน ค่อยๆ พลิกคว่ำลงเล็กน้อยขณะยกขึ้น ให้เป็นรูปโค้งจนปลายนิ้วชี้สูงประมาณระดับสายตา หรือคิ้ว
4. คว่ำมือลงอีกเล็กน้อย
5. ค่อยๆ ลดฝ่ามือลงโดยผ่อนแรงที่ไหล่ ให้แขนทั้งสองข้างวางลงอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่กดลง ไม่ดึงแขนกลับ แต่ก็ไม่รั้งไว้ แขนทั้งสองข้างจะค่อยๆ ลดลองมาอยู่ข้างลำตัวเอง รักษาระดับฝ่ามือไว้ให้ฝ่ามือคว่ำลงอยู่ตลอดโดยค่อยๆ เปลี่ยนมุมที่ข้อมือตามจังหวะที่ฝ่ามือเลื่อนลงมา จนฝ่ามือทั้งสองมาวางอยู่บริเวณข้างสะโพก

นำเชียะบ้วย

6. นั่งลงไป
7. ยกแขนขวาขึ้น ฝ่ามือขวายังคว่ำลง ให้ฝ่ามือสูงประมาณหัวไหล่ขวา เปิดศอกขวาออกเล็กน้อย สายตาค่อยๆ หันไปมองผ่านข้อมือขวา ยกเสร็จตาหันไปมองถึงข้อมือพอดี ศอกตรงเข่า
8. หมุนเท้าขวา มือขวา ทั้งลำตัวด้านขวา ให้เปิดออกเก้าสิบองศา
9. ยกมือซ้ายขึ้น ยกขาซ้ายเตรียมก้าว ตาหันไปมองทางซ้าย เฉียงประมาณสี่สิบห้าองศา
10. ก้าวเท้าซ้ายออกไปข้างหน้าตรงๆ มือทั้งสองข้างขยายออก เหมือนประคองบอลใหญ่ มือขวาลดลงเล็กน้อย ปลายนิ้วทั้งสองข้างยื่นออกเสมอกัน เข่าตรงศอกทั้งสองมือ นิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายสูงประมาณปลายจมูก

เพ้ง

11. มือขวาช้อนลงล่าง มือซ้ายคว่ำลงเล็กน้อย เมื่อมือขวาผ่านจุดต่ำสุด ยกเท้าขวาขึ้นเตรียมก้าว เมื่อมือขวายกมาตั้งไว้เท้าขวาก็ยกเสร็จพอดี
12. ก้าวเท้าขวาออกไป ตั้งศรีษะขึ้น (ฮือเล้งเต็งแก่) ขยายทั้งสองมือออกไป เมื่อตั้งศอกขวาตรงเข่าแล้วเปิดฝ่ามือขวาขึ้นนิดหนึ่ง เมื่อตั้งศอกซ้ายตรงเข่าแล้ว ปิดฝ่ามือซ้ายลงนิดหนึ่ง มือทั้งสองเคลื่อนพร้อมกัน

ลี่

13 มือขวาคว่า มือซ้ายหงาย นั่งกลับลงมาบนขาซ้าย (ขาหลัง) หมุนเอวไปทางซ้ายเล็กน้อย แล้วลดศอกซ้ายยื่นมือขวาตามออกไปเล็กน้อย ยังยึดหลักเข่าตรงศอก

จี่

14 มือซ้ายตีวง มือขวาหงายรับ เมื่อมือซ้ายกำลังวางลง ถ่ายน้ำหนักกลับไปที่ขาขวา (ขาหน้า) เป็นท่าก้าวธนู แขนขวาขยายออก รับฝ่ามือซ้ายที่วางลงพอดี จุดวางใช้โคนนิ้วมือซ้าย วางแตะบนชีพจรมือขวา มือและแขนเรียงกันเป็นเส้นตรง
15 เมื่อวางแตะเสร็จก็ขยายต่อออกไปให้สุดท่า โดยศอกยังต้องตรงเข่า ไม่เคลื่อนออกจากตำแหน่ง

อั่น

16 ปล่อยสองมือแบนราบ ยกมือทั้งสองขึ้นโดยตำแหน่งศอกยังคงเดิม นั่งกลับลงบนขาซ้าย
17 ลดศอกทั้งสองข้างลง
18 ย้ายน้ำหนักกลับไปขาหน้า เมื่อย้ายน้ำหนักเสร็จมือทั้งคู่ผลักออกไปอีกเล็กน้อย ตั้งฝ่ามือขึ้น ฝ่ามือเปิดออกประมาณ 45 องศา (ไม่ใช่ผลักโดยแบมือทั้งสองไปข้างหน้า) ระยะห่างระหว่างฝ่ามือทั้งคู่ประมาณช่วงไหล่ด้านใน

Monday, November 07, 2005

ประวัติจางซานฟง

ประวัติมวยไท่เก๊ก ไม่มีใครรู้ครับว่าประวัติที่แท้จริงของมวยไท่เก๊กเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ส่วนมากแล้วจะอ้างว่านักพรตจางซานฟงหรือเตียซำฮง ที่เคยเห็นอยู่ในหนังเรื่องดาบมังกรหยกที่เป็นอาจารย์ปู่ของพระเอกจอมยุทธ์เตียบ่อกี้นั่นแหละ เป็นผู้คิดค้นขึ้น โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการบังเอิญเปิดหน้าต่างบ้านออกมาแล้วก็บังเอิญเห็นนกกระเรียนตีกันกับงูอยู่ ท่านก็ให้ปลาบปลื้มปิติ ปิ๊งเป็นวิชามวยขึ้นมา จริงๆ แล้วมวยจีนหลายๆ แขนงก็มักจะอ้างว่าคิดขึ้นมาจากกระเรียนมั่ง งูมั่ง หรือไม่ก็ทั้งคู่นี่แหละ นัยว่าเป็นสัตว์ยอดฮิตสำหรับการคิดมวยจีนนอกจากนี้ก็มีที่คิดมาจากเสือ หมี ลิง ตั๊กแตน นกอินทรี ที่แปลกๆ เช่นหมา หรือเป็ดก็มีหรือที่ยิ่งใหญ่ๆ มากๆ อย่างมังกรก็เป็นที่นิยมมากเหมือนกัน ตำนานไม่ได้บอกว่ากระเรียนกับงูที่เป็นอาจารย์สอนมวยให้ท่านจาง หรือผลการสู้กันใครเป็นฝ่ายชนะ หรือเรื่องราวเป็นอย่างไรต่อ แต่คาดว่าคงไม่ได้โดนท่านจางจับย่างกินเป็นแน่ เพราะท่านเป็นนักพรตเต๋า ก็ถือศีลกินเจครับ

pic1 รูปที่ 1 ท่านจางซานฟง ทราบว่าท่านอายุยืนมาก รูปที่เห็นส่วนมากผมเผ้าหนวดเคราจะเป็นสีดำครับ แสดงว่าหนุ่มอยู่เสมอ
pic2 รูปที่ 2 รูปท่านจางซานฟงพิจารณานกกระเรียนกัดกับงูแล้วคิดออกมาเป็นมวยไท่เก๊กได้ จิตกรที่วาดรูปนี้ก็จินตนาการเอาว่ามันมาตีกันอยู่ในสวนบ้านท่าน
pic3รูปที่ 3 นกกระเรียนตัวเป็นๆ หน้าตาอย่างนี้

ท่านนักพรตจางซานฟงผู้นี้ เชื่อกันว่าเดิมชื่อจางจวินเป่า หรือเตียกุนป้อ เกิดในประเทศจีนตอนปลายราชวงศ์ซ่ง ว่ากันว่าเป็น วันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1247 แล้วมามีชื่อเสียงสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1279-1368) เคยศึกษามวยเส้าหลินจากวัดเส้าหลินมาก่อน บ้างก็ว่าเคยบวชในวัด ที่ท่านกิมย้งไปแต่งเป็นนิยายมังกรหยกก็ว่าเคยเป็นเณรน้อยอยู่ในวัดก่อนจะหนีออกมา หรือในหนังหลายๆ เรื่องที่เอาเรื่องของท่านมาสร้างก็มักจะให้เป็นหลวงจีนแล้วทำผิดกฏโดนไล่ออกจากวัด ประมวลจากหลายๆ สายก็เอาเป็นว่าท่านก็น่าจะมีเอี่ยวกับวัดเส้าหลินมาแต่เดิม

pic4รูป 4 รูปท่านตักม้อ หรือท่านโพธิธรรม ผู้คิดค้นมวยเส้าหลินขึ้นมาจนเป็นมวยประจำชาติจีนสังเกตุว่าหน้าท่านจะไม่ค่อยหมือนคนจีนเพราะท่านเป็นพระอินเดียเดินทางมาเผยแผ่ศาสนาพุทธในประเทศจีน จิตรกรที่วาดรูปท่านมักจะวาดให้ยืนอยู่บนปล้องอ้อ นัยว่าท่านเหยียบปล้องอ้อข้ามน้ำมา

บางตำนานก็ว่าท่านเคยสอบได้เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในสมัยฮ่องเต้ไท่จง แต่เบื่อราชการงานเมือง ก็เลยลาออกจากราชการ ชื่อฮ่องเต้ไท่จงนี่รู้สึกจะมีหลายพระองค์ครับอันนี้คือไท่จงของหยวน ก็เรียกว่าหยวนไท่จง คือฮ่องเต้ชื่อไท่จงนี้จะใช้กับฮ่องเต้ที่เป็นต้นราชวงศ์ ทีนี้ท่านจางลาออกแล้วก็เดินทางท่องเที่ยว เขาว่าท่านมีโอกาสได้ฝึกมวยเส้าหลินสำเร็จในช่วงที่เดินทางนี่เอง ซึ่งอันนี้โดยส่วนตัวผมว่าออกจะขัดแย้งอยู่บ้าง คือหากท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่เมื่อลาออกมาก็คงอายุไม่น้อยแล้ว ขณะที่มวยเส้าหลินนั้นจะต้องฝึกกันตั้งแต่อายุยังน้อย หากกลับกันคือท่านฝึกมวยเส้าหลินมาก่อน แล้วไปรับราชการทีหลังยังจะน่าเชื่อกว่า อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ท่านเดินทางท่องเที่ยวอยู่นี่เอง เล่ากันว่าท่านมีโอกาสได้พบกับนักพรตหั่วหลงเจินเหริน หรือนักพรตมังกรไฟ ซึ่งเป็นผู้สอนวิชาอมตะของเซียนในลัทธิเต๋าให้กับท่าน อันวิชาอมตะนี้ก็มีปรากฏอยู่ในนิยายจีนอยู่เนืองๆ ที่มีชื่อเสียงก็คือเรื่อง "มังกรคู่สู้สิบทิศ" ของท่านหวงอี้ ยาวเฟื้อย อ่านสนุกมาก ด้วยความเป็นอัจฉริยะท่านก็ฝึกวิชาอมตะสำเร็จอีก ก็เลยมีอายุยืนยาว อยู่มาจนถึงราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368-1654) สำหรับคนไทยอ้างอิงกับนิยายดูจะง่ายกว่า ราชวงศ์หมิงหรือเหม็งนี่ก็คือพรรคเม้งก่าในดาบมังกรหยกของกิมย้งไงครับในนิยายหลังจากพรรคเม้งก่ารวมกำลังชาวฮั่นก่อการล้มล้างราชวงศ์หยวนซึ่งก็คือชาวมองโกลได้สำเร็จก็ตั้งเป็นราชวงศ์เหม็งขึ้น โดยขุนศึกจูหยวนจางขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ ในนิยายเตียบ่อกี้เป็นหัวหน้าพรรคเม้งก่าก็น่าจะได้เป็นฮ่องเต้ ท่านก็แต่งให้โดนจูหยวนจางหักหลังตอนจบไงครับ

pic5 รูปที่ 5 ฮ่องเต้ไทจูหรือจูหยวนจางครับ

นอกเรื่องไปไกล กลับมาที่ประวัติท่านจาง เขาว่าท่านก็กลัวจะถูกเรียกกลับไปรับราชการอีก ก็เลยทำตัวสติเฟื่องไปพักหนึ่ง จนคิดว่าปลอดภัยแน่แล้วก็ไปอาศัยอยู่บนเขาอู่ตังหรือบู๊ตึ๊ง ว่ากันว่าในปี ค.ศ. 1407 ฮ่องเต้เฉิงจู่ ได้ส่งข้าราชการไปเยี่ยมท่านที่เขาอู่ตังแต่ไม่พบ ก็เลยถือโอกาสสร้างอารามใหญ่โตไว้บนเขาเอาไว้ให้ จนในปี ค.ศ. 1459 ฮ่องเต้อิงจงก็พระราชทานฉายาอมตะให้ จากนั้นชื่อของท่านก็ค่อยๆ จางหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์จีน ซึ่งถ้านับกันแล้วก็จะพบว่าท่านมีอายุเท่าที่รู้ๆ กันก็เกิน 200 ปี ระหว่างนั้นก็มีชื่อท่านปรากฏอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์จีนเยอะแยะ จนนักประวัติศาสตร์บางท่านเชื่อว่าน่าจะเป็นคนละจาง อยู่กันคนละสมัยแต่บังเอิญมีชื่อพ้องกัน ซึ่งก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน

pic6รูปที 6 ฮ่องเต้เฉิงจู่ คนนี้ละครับที่สร้างอารามให้ท่านจางซานฟงบนเขาอู่ตังpic7รูปที่ 7 ฮ่องเต้อิงจง ท่านบังเอิญพระราชทานฉายาให้กับท่านจางก็เลยมีชื่อติดอยู่ในทำเนียบผู้เกี่ยวข้องกับมวยไท่เก๊กไปกับเขาด้วย

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครปฏิเสธว่าท่านเป็นผู้คิดค้นมวยไท่เก๊กขึ้นมา บางตำราว่ามวยไท่เก๊กเกิดมาก่อนท่าน แต่ที่สุดก็ยกให้ท่านจางเป็นผู้รวบรวมมวยไท่เก๊กขึ้นมาเป็นเรื่องเป็นราว เป็นปฐมปรมาจารย์มวยไท่เก๊กอยู่ดี มีบันทึกว่าท่านจางซานฟงมีศิษย์อยู่ 7 คน ที่ปรากฏในนิยายด้วยนั่นแหละ ก็คือซ่งหย่วนเฉียว(ซ่งเอี๋ยงเกี๊ย), อวี๋เหลียนโจว (หยู่เหน่ยจิว), อวี๋ไต้เอี๋ยน(หยู่ไต่ง้ำ), จางสงซี (เตียส่งโคย),จางชุ่ยซัน(เตียชุ่ยซัว), อินลี่ถิง(ฮึงหลีเต๊ง), และมั่วกู่เซิง(หมกกกเซีย) ในภายหลังยังมีบันทึกของท่านซ่งหย่วนเฉียวเรื่องมวยไท่เก๊กตกทอดมาถึงปัจจุบันในหมู่ลูกหลานตระกูลซ่ง จริงๆ แล้วก่อนสมัยท่านจางก็มีอยู่หลายมวยที่มีหลักการคล้ายๆ หรือมีท่วงท่าที่เหมือนๆ กับมวยไท่เก๊ก หรือมีชื่อท่าซ้ำกันกับมวยไท่เก๊กที่รู้จักกันในปัจจุบันโดยเฉพาะมวยไท่เก๊กของตระกูลหยางซึ่งหลายๆ ท่านเชื่อกันว่าเป็นมวยไท่เก๊กชุดที่ถูกถ่ายทอดมาแต่เดิมจริงๆ และมีการดัดแปลงน้อย แต่เท่าที่รู้ก็มีแค่ความคล้ายคลึงเท่านั้นยังไม่อาจเรียกว่าเป็นมวยไท่เก๊กได้ ที่นับว่าใช่ก็ตั้งแต่สมัยท่านจางซานฟงมานี่เอง มีบางท่านเชื่อกันว่า ที่เรียกว่ามวยไท่เก๊กต่างๆ สายโน้นสายนี้ที่ฝึกๆ กันอยู่ หรือทะเลาะกันอยู่ว่าใครของแท้ไม่แท้นี่เป็นคนละมวยกับมวยไท่เก๊กดั้งเดิมของท่านจาง ซึ่งมวยเดิมนั้นน่าจะสาบสูญไปแล้ว ที่มีอยู่ก็เพียงแต่อาศัยว่าท่านจางไม่ได้จดลิขสิทธิ์ชื่อมวยไว้ก็เลยตั้งชื่อซ้ำกันขึ้นมา อาศัยความดังของท่านว่างั้นเถอะ แต่ความเชื่อนี้ก็ค่อนข้างจะไม่ได้รับความนิยมสักเท่าไรนัก ส่วนหนึ่งเพราะผู้ฝึกเองก็อยากมีเครดิตว่าฝึกมวยเก่าของแท้ดั้งเดิม แต่อีกนัยหนึ่งก็คือว่าวิชาที่เรียกว่ามวยไท่เก๊กนี้แม้มีหลายสาย หลายสำนัก ท่วงท่าก็ไม่ค่อยเหมือนกัน หรือบางทีใช้ชื่ออื่นไปแล้วด้วยซ้ำเช่นมวยยาว มวย 13 ท่า มวยสำลี ฯลฯ แต่ผู้คนก็ยังรู้อยู่ว่านี่แหละที่เรียกว่ามวยไท่เก๊กเพราะไม่ว่าจะหน้าตาอย่างไร หรือใช้ชื่ออะไร แต่เคล็ดความนั้นยังเป็นอันเดียวกัน หลักวิชาเดียวกันซึ่งหลักที่คลาสสิคที่สุดที่มักจะนำมาอ้างกันคือคัมภีร์ที่เขียนขึ้นโดยท่านหวังจง หรือหวังจงเย่ว ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นศิษย์ของท่านจางสงซี หนึ่งในเจ็ดศิษย์รักของท่านจางซานฟงนั่นเอง มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำว่า "ภายหลังยุคของซานฟงยังมีหวังจง"
ในปัจจุบันมวยมีมวยไท่เก๊กที่มีชื่อเสียงอยู่หลายตระกูล รวมทั้งที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักอีกนับไม่ถ้วน ที่ค่อนข้างแพร่หลายหน่อยก็มีอยู่ห้าสำนัก คือสำนักตระกูลเฉิน (ตั๊ง) หยาง (เอี๊ย) อู๋ (โง้ว)อู่ (บู้) และซุน (ซึง) ซึ่งมวยทั้งห้าตระกูลนี้ก็มีสายสัมพันธ์กันค่อนข้างแน่นแฟ้น สืบสาวประวัติการเกี่ยวข้องดองกันออกมาได้ชัดเจน

Sunday, November 06, 2005

การหายใจกับการฝึกมวยไท่เก๊ก

ขณะรำมวยหรือฝึกยืนจั่นจวง ให้ปล่อยลมหายใจให้เป็นธรรมชาติ ไม่พยายามบังคับ จะให้ดีคืออย่าไปยุ่งกับลมหายใจ

เมื่อฝึกฝนไปได้ระดับหนึ่งลมหายใจจะค่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลง

เช่น

เมื่อหายใจเข้า ลมหายใจจะถูกดึงลง (กระบังลมลดระดับลง) หน้าท้องลดระดับลงจนดูเหมือนแฟบลง กระดูกสันหลังมีการยืดตัวขึ้น กระดูกสะบักเปิดออก
เมื่อหายใจออก กระดูกสะบักลดตัวลง กระบังลมเลื่อนขึ้นมา ทำให้ช่องท้องเลื่อนขึ้นมา กลายสภาพเป็นท้องน้อยป่องออกมา

การหายใจเมือหายใจเข้าสุดแล้ว จะอยู่ในสภาพไม่หายใจออกชั่วระยะหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นร่างกายจะผ่อนคลายและเปิดออก (ไม่ใช่การตั้งใจกลั้นลมหายใจ) แล้วจึงระบายออก
เมื่อหายใจออกสุดแล้ว จะอยู่ในสภาพไม่หายใจชั่วระยะหนึ่ง ขณะนั้นร่างกายจะผ่อนคลาย แล้วจึงเกิดภาวะดึงลมหายใจเข้าอีกครั้ง

เมื่อตีออกไป (แม้แต่ท่าลู่ซึ่งเหมือนดึงเข้ามา) เป็นขณะลมหายใจออก
เมื่อโดนกระแทกโดยไม่รู้ตัว ลมหายใจจะถูกระบายออก ท้องจะป่องออกมา ขณะนั้นร่างกายจะเหมือนกับซับแรงกระแทกเข้ามาเล็กน้อย แล้วปล่อยให้กระดอนออกไป

ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นเอง โดยไม่ต้องบังคับกะเกณฑ์ เพียงแต่รับรู้ไว้

Thursday, November 03, 2005

ศิษย์หลายอาจารย์

จากหนังสือหลวงปู่ฝากไว้
โดย พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)

ตื่นอาจารย์

นักปฎิบัติธรรมสมัยนี้มีสองประเภท ประเภทหนึ่งเมื่อได้รับข้อปฏิบัติ หรือข้อแนะนำจากอาจารย์ พอเข้าใจแนวทางแล้วก็ตั้งใจเพียรพยายามปฏิบัติไปจนสุดความสามารถ อีกประเภทหนึ่งทั้งที่มีอาจารย์แนะนำดีแล้ว ได้ข้อปฏิบัติถูกต้องดีแล้ว แต่ก็ไม่ตั้งใจทำอย่างจริงจัง มีความเพียรต่ำ ขณะเดียวกันก็ชอบเที่ยวแสวงหาอาจารย์ ไปในสำนักต่างๆ ได้ยินว่าสำนักไหนดีก็ไปทุกแห่ง ซึ่งลักษณะนี้มีอยู่มากมาย

หลวงปู่เคยแนะนำลูกศิษย์ว่า

"การไปหลายสำนักหลายอาจารย์ การปฏิบัติจะไม่ได้ผล เพราะการเดินหลายสำนักนี้ คล้ายกับการเริ่มต้นปฏิบัติใหม่ไปเรื่อย เราก็ไม่ได้หลักธรรมที่แน่นอน บางทีก็เกิดความลังเล งวยงง จิตก็ไม่มั่นคง การปฏิบัติก็เสื่อม ไม่เจริญคืบหน้าต่อไป"

คำถามที่พบบ่อยครั้งสำหรับผู้ฝึกศิลปยุทธ์คือ ควรฝึกหลายสำนักหลายอาจารย์หรือไม่ บ้างก็ตอบว่าไม่ บ้างก็ตอบว่าได้ บ้างก็บอกว่าแล้วแต่ แล้วแต่ว่าเรียนอะไรร่วมกับอะไร

ต่างสำนักก็มีวิธีการฝึกที่แตกต่างกันครับ ผู้ฝึกก็พิจารณาเอา แต่ถ้าคิดจะฝึกก็เลือกเอาสักสำนัก สักแนวทางครับ อย่าเอามาปะปนกัน บางสำนักสอนให้ยกเวท บางสำนักไม่ให้ยก ถ้าไปเข้าสำนักไหน ก็ให้ฝึกตามแนวทางสำนักนั้น อย่าเอาหลายตำราหลายอาจารย์มาปะปนกัน การฝึกแต่ละอย่างมีเหตุผล มีวัตถุประสงค์ การที่เราไม่เข้าใจวัตถุประสงค์อย่างถ่องแท้ แล้วทำผิดครู ก็เข้ารกเข้าพงได้ง่าย ก็ลองๆ หาดูครับ เพราะมวยไท่เก๊กบางสำนักเขาก็ให้ยกเวทร่วมด้วยก็มีนั่นแหละ หรือบางสำนักก็ให้ฝึกแขม่วท้องหายใจนั่นแหละ ถ้าชอบก็ลองฝึกดู ของอย่างนี้ขึ้นกับวาสนาครับ ผมอาจเป็นคนเดินผิดทางเองก็ได้ อย่างเช่นหากคุณเลือกฝึกมวยไท่เก๊กระบบโบราณ ก็รับประกันได้ว่าไม่มีทางเอาไปแข่งในระบบกีฬาวูซูได้เลย แข่งไปก็ตกรอบแรกแน่นอน ยังไม่นับว่ามวยไท่เก๊กก็มีหลายตระกูล หลายสายอีก ซึ่งแต่ละตระกูลก็มีวิธีการฝึก และเคล็ดความแตกต่างกัน สำหรับผมโดยส่วนตัวก็คิดว่าไม่น่านำตำรามวยหนึ่งมาอธิบายหรือยกตัวอย่างอีกมวยหนึ่งนะครับ เช่นการใช้ตำราของเส้าหลินมาพูดเรื่องของไท่เก๊ก มันก็ย่อมเป็นคนละเรื่องกัน ดูอย่างการยืนม้าของไท่เก๊กกับของเส้าหลินก็แตกต่างกัน มวยไท่เก๊กยืนสูง ไม่ใช่ว่าขี้เกียจ หรือรักสบาย แต่เพราะมีเคล็ดเฉพาะที่ต้องฝึกด้วยท่านี้ ถ้ารู้มากไปหัดยืนต่ำก็จะอดเห็นของดีที่จะได้จากการยืนสูง แต่อาจไปเห็นผลของการยืนต่ำแทน ทีนี้หลักอื่นๆ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะเริ่มคดเสียแล้ว มันก็ออกนอกทางไปแล้ว ไอ้ที่ว่าออกนอกทางก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เก่ง คุณอาจจะเก่ง สู้ใครไม่เคยแพ้ หรืออาจจะแข่งได้เหรียญได้ถ้วย จากการยำมวยยำหลักแต่สิ่งที่คุณฝึกก็ไม่ใช่ไท่เก๊กแล้ว ความพิสดารของไท่เก๊กที่อธิบายไว้ในคัมภีร์ก็คงไม่มีโอกาสได้รับรู้แล้ว


หากแต่เรื่องระบบมวยนั้น หากฝึกได้ทั้งระบบ แต่ละมวย แต่ละ system ค่อนข้างสมบูรณ์ครับ มวยเส้าหลินก็มีการฝึกทั้งภายนอกภายใน มวยไท่เก๊กก็มีการฝึกทั้งภายนอกภายใน ซึ่งเสริมกับระบบมวยของตนเอง การฝึกจั่นจวงหรือติ้งซื่อก็เป็น weight training แบบไท่เก๊ก ซึ่งสนับสนุนระบบมวยไท่เก๊กเองครับ อย่างเช่นเรื่องการหายใจ สำนักหนึ่งฝึกลมหายใจโดยใช้ท่ามวยชักนำการหายใจแบบธรรมชาติจนเกิดความเปลี่ยนแปลง แต่อีกสำนักหนึ่งฝึกฝืนหายใจจนเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงนี่เป็นคนละอย่าง แล้วหากฝึกพร้อมๆ กัน ถามว่าสุดท้ายจะให้เปลี่ยนเป็นอะไรครับ มันต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง หรือไม่ก็ออกมาเป็นทางที่สาม ซึ่งก็ไม่ใช่ทางใดทางหนึ่ง ซึ่งก็คือผิดระบบมวยที่วางไว้ แนวที่สามมันก็ต่อกับระบบเดิมไม่ติดอีก การนำการฝึกนอกระบบบางอย่างเข้ามารวมด้วยกลับกลายเป็นการทำลาย ผมเคยยกตัวอย่างเรื่องนักซูโม่กับนักเต้นรำ ทั้งสองระบบก็มีการฝึก weight training หลายประเภท แต่โปรแกรมการฝึกก็แตกต่างกันครับ เอาโปรแกรมนักซูโม่ไปให้นักเต้นรำฝึกไม่ได้ แล้วก็เอาโปรแกรมนักเต้นรำไปให้นักซูโม่ฝึกก็ไม่ได้ ก็ไม่ใช่ไม่ได้ แต่จะออกมาเป็นเป็ดเสียมากกว่า ซูโม่ก็ได้ เต้นรำก็ได้ แต่ไม่ได้ดีสักอย่าง ...แต่บางคนก็ชอบอย่างนี้นะครับ ก็ต่างจิตต่างใจ

ผมเคยบอกเพื่อนคนหนึ่งว่า "คุณสามารถฝึกวิชาไท่เก๊กเสริมการออกกำลังกายชนิดใดก็ได้ แต่คุณไม่สามารถฝึกวิชาอื่นเพื่อมาเสริมวิชามวยไท่เก๊กได้เลย มวยไท่เก๊กมีแต่มวยไท่เก๊กเท่านั้น" เช่นประเด็นที่คุณ Chen พูดถึงการนำซูโม่มาฝึกเบสิคบัลเลต์ แต่คงยอมรับใช่ไหมครับว่าคงไม่ฝึกท่าหมุนตัวขาเดียวสิบรอบ มันมีสิ่งที่ทำได้และทำไม่ได้ ควรและไม่ควรอยู่ ไท่เก๊กก็ไม่ใช่ไม่มีเวทเทรนนิ่ง การยืนเฉยๆ ยี่สิบนาที โดยยกแขนค้างไว้ ก็เป็นเวทเทรนนิ่งแบบไท่เก๊ก เพียงแต่การฝึกไท่เก๊กพิสดารกว่าการยกแขนเฉยๆ คุณต้องถ่ายน้ำหนักจากแขนทิ้งผ่านลำตัว ผ่านขาให้หมด ให้แขนเบาสนิท ไม่ออกแรงเลย ธรรมดาฝึกเคล็ดนี้ด้วยน้ำหนักของแขนเปล่าๆ ยังกินเวลาเป็นปี หากเพิ่มตุ้มน้ำหนักไป กว่าจะฝึกได้จะเสียเวลากี่ปีก็ไม่รู้ เช่นที่คุณ tun เขียน คือ ผู้ฝึกมวยไท่เก๊กก็มีความฟิตและความแข็งแรงที่สอดคล้องกับวิชาอยู่แล้ว หากยังคิดว่าฟิตไม่พอ แข็งแรงไม่พอ ก็เพิ่มรอบรำมวยเข้าสิ หรืออย่างซาดิสม์คือเพิ่มเวลาจั่นจวง หรือทำจั่นจวงด้วยท่ายากๆ เช่น อยากให้แขนฟิตก็มีตั้งหลายท่าที่ต้องเหยียดแขนไปยาวๆ ก็ใช้เป็นท่าจั่นจวง เหล่านี้อยู่ในกระบวนการฝึกทั้งสิ้น ฝึกยังจะไม่ไหว แล้วมีเหตุอะไรต้องไปแสวงหาวิธีการฝึกแบบอื่น จริงๆ แล้วเป็นการหลอกตัวเอง คือหนีของยากไปหาของง่ายหรือเปล่า แล้วถ้าการออกแบบโปรแกรมเวทเทรนนิ่งเอง เช่นวิดพื้น หรือยกลูกเหล็กเพื่อความฟิตที่ว่า คุณออกแบบโปรแกรมฝึกพลาดนิดเดียว เกิดกล้ามขึ้น หรือเกิดกล้ามเนื้อรัดตัว มันก็ขวางทางมวยไท่เก๊ก ต้องมาเสียเวลาสลายหรือผ่อนคลายกันอีก แต่ในระบบฝึกของมวยไท่เก๊กเองค่อนข้างรับรองได้ว่าจะไม่มีความผิดพลาดแบบนี้ เพราะถูกออกแบบมารองรับวิชานี้อยู่แล้ว

Wednesday, November 02, 2005

ปัญหาของแฟ้มข้อมูล ตอน1

Data Redundancy

เมื่อแต่ละแผนก หรือแต่ละหน่วยงานมีการเก็บข้อมูลของตนเอง ในกรณีที่ข้อมูลเป็นข้อมูลเดียวกันอาจมีปัญหาดังนี้

เช่น ข้อมูลลูกค้า
ชื่อ นายดำ แดงดี
ที่อยู่ 123 ซอยสีดำ แขวงแดงดี เขตหลายสี จังหวัดกรุงเทพ รหัสไปรษณี 10100

ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้มีดังนี้

1. สิ้นเปลืองพื้นที่ที่ใช้ในการรักษาข้อมูล

2. ต้องใช้กระบวนการในการ syncronize หรือ update ข้อมูลในแต่ละหน่วยงานให้ตรงกัน

3. โครงสร้างข้อมูลของแต่ละหน่วยงานไม่ตรงกัน เช่น
หน่วยงาน A มีโครงสร้างข้อมูลเป็น
ชื่อสกุล (100)
ที่อยู่ (200)

หน่วยงาน B มีโครงสร้างข้อมูลเป็น
ชื่อ (50)
สกุล (50)
ที่อยู่ 1 (100)
ที่อยู่ 2 (100)
รหัสจังหวัด (2) --> Lookup table_Province ( รหัสจังหวัด (2), ชื่อจังหวัด (20) )

4. ข้อมูลไม่ตรงกัน เช่น

หน่วยงาน A
ชื่อ นายดำ แดงดี
ที่อยู่ 123 ซอยสีดำ แขวงแดงดี เขตหลายสี จังหวัดกรุงเทพ รหัสไปรษณี 10100

หน่วยงาน B
ชื่อ นายดำ แดงดีจังเลย
ที่อยู่ 123 ซอยสีดำ แขวงแดงดี เขตหลายสี จังหวัดกรุงเทพ รหัสไปรษณี 10100

ซึ่งความผิดพลาดนี้อาจเกิดจาก
1. มีการแก้ไขข้อมูลในบางหน่วยงาน แต่ไม่ได้ update ถึงกันทั้งหมด
2. เกิด Human Error ขณะป้อนข้อมูลสำในแต่ละหน่วยงาน

5. ปัญหาอื่นๆ เช่น
การควบคุมข้อมูล บางครั้งข้อมูลชุดล่าสุดกลับถูกแทนที่ด้วยข้อมูลที่เก่ากว่า
output ที่ออกไป เช่น print out ซึ่งในแต่ละหน่วยงานอาจได้ output ที่แตกต่างกัน (สำหรับปัญหาข้างต้น) เมื่อไปถึงผู้รับ ยากจะบอกได้ว่า ข้อมูลดังกล่าวมาจากหน่วยงานใด (เนื่องจากมีหลายหน่วยงาน ควบคุมข้อมูลแบบเดียวกัน)