จากหนังสือหลวงปู่ฝากไว้
โดย พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
ตื่นอาจารย์
นักปฎิบัติธรรมสมัยนี้มีสองประเภท ประเภทหนึ่งเมื่อได้รับข้อปฏิบัติ หรือข้อแนะนำจากอาจารย์ พอเข้าใจแนวทางแล้วก็ตั้งใจเพียรพยายามปฏิบัติไปจนสุดความสามารถ อีกประเภทหนึ่งทั้งที่มีอาจารย์แนะนำดีแล้ว ได้ข้อปฏิบัติถูกต้องดีแล้ว แต่ก็ไม่ตั้งใจทำอย่างจริงจัง มีความเพียรต่ำ ขณะเดียวกันก็ชอบเที่ยวแสวงหาอาจารย์ ไปในสำนักต่างๆ ได้ยินว่าสำนักไหนดีก็ไปทุกแห่ง ซึ่งลักษณะนี้มีอยู่มากมาย
หลวงปู่เคยแนะนำลูกศิษย์ว่า
"การไปหลายสำนักหลายอาจารย์ การปฏิบัติจะไม่ได้ผล เพราะการเดินหลายสำนักนี้ คล้ายกับการเริ่มต้นปฏิบัติใหม่ไปเรื่อย เราก็ไม่ได้หลักธรรมที่แน่นอน บางทีก็เกิดความลังเล งวยงง จิตก็ไม่มั่นคง การปฏิบัติก็เสื่อม ไม่เจริญคืบหน้าต่อไป"
คำถามที่พบบ่อยครั้งสำหรับผู้ฝึกศิลปยุทธ์คือ ควรฝึกหลายสำนักหลายอาจารย์หรือไม่ บ้างก็ตอบว่าไม่ บ้างก็ตอบว่าได้ บ้างก็บอกว่าแล้วแต่ แล้วแต่ว่าเรียนอะไรร่วมกับอะไร
ต่างสำนักก็มีวิธีการฝึกที่แตกต่างกันครับ ผู้ฝึกก็พิจารณาเอา แต่ถ้าคิดจะฝึกก็เลือกเอาสักสำนัก สักแนวทางครับ อย่าเอามาปะปนกัน บางสำนักสอนให้ยกเวท บางสำนักไม่ให้ยก ถ้าไปเข้าสำนักไหน ก็ให้ฝึกตามแนวทางสำนักนั้น อย่าเอาหลายตำราหลายอาจารย์มาปะปนกัน การฝึกแต่ละอย่างมีเหตุผล มีวัตถุประสงค์ การที่เราไม่เข้าใจวัตถุประสงค์อย่างถ่องแท้ แล้วทำผิดครู ก็เข้ารกเข้าพงได้ง่าย ก็ลองๆ หาดูครับ เพราะมวยไท่เก๊กบางสำนักเขาก็ให้ยกเวทร่วมด้วยก็มีนั่นแหละ หรือบางสำนักก็ให้ฝึกแขม่วท้องหายใจนั่นแหละ ถ้าชอบก็ลองฝึกดู ของอย่างนี้ขึ้นกับวาสนาครับ ผมอาจเป็นคนเดินผิดทางเองก็ได้ อย่างเช่นหากคุณเลือกฝึกมวยไท่เก๊กระบบโบราณ ก็รับประกันได้ว่าไม่มีทางเอาไปแข่งในระบบกีฬาวูซูได้เลย แข่งไปก็ตกรอบแรกแน่นอน ยังไม่นับว่ามวยไท่เก๊กก็มีหลายตระกูล หลายสายอีก ซึ่งแต่ละตระกูลก็มีวิธีการฝึก และเคล็ดความแตกต่างกัน สำหรับผมโดยส่วนตัวก็คิดว่าไม่น่านำตำรามวยหนึ่งมาอธิบายหรือยกตัวอย่างอีกมวยหนึ่งนะครับ เช่นการใช้ตำราของเส้าหลินมาพูดเรื่องของไท่เก๊ก มันก็ย่อมเป็นคนละเรื่องกัน ดูอย่างการยืนม้าของไท่เก๊กกับของเส้าหลินก็แตกต่างกัน มวยไท่เก๊กยืนสูง ไม่ใช่ว่าขี้เกียจ หรือรักสบาย แต่เพราะมีเคล็ดเฉพาะที่ต้องฝึกด้วยท่านี้ ถ้ารู้มากไปหัดยืนต่ำก็จะอดเห็นของดีที่จะได้จากการยืนสูง แต่อาจไปเห็นผลของการยืนต่ำแทน ทีนี้หลักอื่นๆ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะเริ่มคดเสียแล้ว มันก็ออกนอกทางไปแล้ว ไอ้ที่ว่าออกนอกทางก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เก่ง คุณอาจจะเก่ง สู้ใครไม่เคยแพ้ หรืออาจจะแข่งได้เหรียญได้ถ้วย จากการยำมวยยำหลักแต่สิ่งที่คุณฝึกก็ไม่ใช่ไท่เก๊กแล้ว ความพิสดารของไท่เก๊กที่อธิบายไว้ในคัมภีร์ก็คงไม่มีโอกาสได้รับรู้แล้ว
หากแต่เรื่องระบบมวยนั้น หากฝึกได้ทั้งระบบ แต่ละมวย แต่ละ system ค่อนข้างสมบูรณ์ครับ มวยเส้าหลินก็มีการฝึกทั้งภายนอกภายใน มวยไท่เก๊กก็มีการฝึกทั้งภายนอกภายใน ซึ่งเสริมกับระบบมวยของตนเอง การฝึกจั่นจวงหรือติ้งซื่อก็เป็น weight training แบบไท่เก๊ก ซึ่งสนับสนุนระบบมวยไท่เก๊กเองครับ อย่างเช่นเรื่องการหายใจ สำนักหนึ่งฝึกลมหายใจโดยใช้ท่ามวยชักนำการหายใจแบบธรรมชาติจนเกิดความเปลี่ยนแปลง แต่อีกสำนักหนึ่งฝึกฝืนหายใจจนเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงนี่เป็นคนละอย่าง แล้วหากฝึกพร้อมๆ กัน ถามว่าสุดท้ายจะให้เปลี่ยนเป็นอะไรครับ มันต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง หรือไม่ก็ออกมาเป็นทางที่สาม ซึ่งก็ไม่ใช่ทางใดทางหนึ่ง ซึ่งก็คือผิดระบบมวยที่วางไว้ แนวที่สามมันก็ต่อกับระบบเดิมไม่ติดอีก การนำการฝึกนอกระบบบางอย่างเข้ามารวมด้วยกลับกลายเป็นการทำลาย ผมเคยยกตัวอย่างเรื่องนักซูโม่กับนักเต้นรำ ทั้งสองระบบก็มีการฝึก weight training หลายประเภท แต่โปรแกรมการฝึกก็แตกต่างกันครับ เอาโปรแกรมนักซูโม่ไปให้นักเต้นรำฝึกไม่ได้ แล้วก็เอาโปรแกรมนักเต้นรำไปให้นักซูโม่ฝึกก็ไม่ได้ ก็ไม่ใช่ไม่ได้ แต่จะออกมาเป็นเป็ดเสียมากกว่า ซูโม่ก็ได้ เต้นรำก็ได้ แต่ไม่ได้ดีสักอย่าง ...แต่บางคนก็ชอบอย่างนี้นะครับ ก็ต่างจิตต่างใจ
ผมเคยบอกเพื่อนคนหนึ่งว่า "คุณสามารถฝึกวิชาไท่เก๊กเสริมการออกกำลังกายชนิดใดก็ได้ แต่คุณไม่สามารถฝึกวิชาอื่นเพื่อมาเสริมวิชามวยไท่เก๊กได้เลย มวยไท่เก๊กมีแต่มวยไท่เก๊กเท่านั้น" เช่นประเด็นที่คุณ Chen พูดถึงการนำซูโม่มาฝึกเบสิคบัลเลต์ แต่คงยอมรับใช่ไหมครับว่าคงไม่ฝึกท่าหมุนตัวขาเดียวสิบรอบ มันมีสิ่งที่ทำได้และทำไม่ได้ ควรและไม่ควรอยู่ ไท่เก๊กก็ไม่ใช่ไม่มีเวทเทรนนิ่ง การยืนเฉยๆ ยี่สิบนาที โดยยกแขนค้างไว้ ก็เป็นเวทเทรนนิ่งแบบไท่เก๊ก เพียงแต่การฝึกไท่เก๊กพิสดารกว่าการยกแขนเฉยๆ คุณต้องถ่ายน้ำหนักจากแขนทิ้งผ่านลำตัว ผ่านขาให้หมด ให้แขนเบาสนิท ไม่ออกแรงเลย ธรรมดาฝึกเคล็ดนี้ด้วยน้ำหนักของแขนเปล่าๆ ยังกินเวลาเป็นปี หากเพิ่มตุ้มน้ำหนักไป กว่าจะฝึกได้จะเสียเวลากี่ปีก็ไม่รู้ เช่นที่คุณ tun เขียน คือ ผู้ฝึกมวยไท่เก๊กก็มีความฟิตและความแข็งแรงที่สอดคล้องกับวิชาอยู่แล้ว หากยังคิดว่าฟิตไม่พอ แข็งแรงไม่พอ ก็เพิ่มรอบรำมวยเข้าสิ หรืออย่างซาดิสม์คือเพิ่มเวลาจั่นจวง หรือทำจั่นจวงด้วยท่ายากๆ เช่น อยากให้แขนฟิตก็มีตั้งหลายท่าที่ต้องเหยียดแขนไปยาวๆ ก็ใช้เป็นท่าจั่นจวง เหล่านี้อยู่ในกระบวนการฝึกทั้งสิ้น ฝึกยังจะไม่ไหว แล้วมีเหตุอะไรต้องไปแสวงหาวิธีการฝึกแบบอื่น จริงๆ แล้วเป็นการหลอกตัวเอง คือหนีของยากไปหาของง่ายหรือเปล่า แล้วถ้าการออกแบบโปรแกรมเวทเทรนนิ่งเอง เช่นวิดพื้น หรือยกลูกเหล็กเพื่อความฟิตที่ว่า คุณออกแบบโปรแกรมฝึกพลาดนิดเดียว เกิดกล้ามขึ้น หรือเกิดกล้ามเนื้อรัดตัว มันก็ขวางทางมวยไท่เก๊ก ต้องมาเสียเวลาสลายหรือผ่อนคลายกันอีก แต่ในระบบฝึกของมวยไท่เก๊กเองค่อนข้างรับรองได้ว่าจะไม่มีความผิดพลาดแบบนี้ เพราะถูกออกแบบมารองรับวิชานี้อยู่แล้ว
Thursday, November 03, 2005
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment