Thursday, October 27, 2005

ประวัติมวยไท่เก๊กตระกูลหยาง (ตอน 2)

ทีนี้ต่อมาท่านหยางลู่ฉานเกิดไปพลั้งมือฆ่าคนในการประลองครั้งหนึ่ง ก็มีผู้ช่วยเหลือให้ไปหลบอาญาแผ่นดินอยู่ในนครปักกิ่ง ฆ่าคนแถวบ้านนอกเลยไปหลบในเมืองหลวงประมาณนั้น

การไปอยู่เมืองหลวงก็มีผู้อุปการะ ให้ไปเป็นครูมวยอยู่ในตระกูลจาง ซึ่งเป็นเศรษฐีใหญ่อยู่แถบชานเมืองปักกิ่ง แถมท่านจางคนนี้มีตำแหน่งขุนนางห้อยด้วย เหตุเพราะตระกูลจางเปิดโรงงานซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว ผักดอง อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของนครปักกิ่ง ฟังว่าผักดองของโรงงานจางพานิชย์แห่งนี้มีรสชาติดีมาก ถูกปากพระนางซูสีไทเฮา จนได้ผูกขาดเป็นผู้ส่งซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว ผักดองทั้งหลายเข้าไปในวังหลวงแต่เพียงผู้เดียว





คนนี้ละครับ พระนางซูสีไทเฮา หากท่านไม่บังเอิญโปรดซีอิ๊วตระกูลจาง ก็ไม่รู้ว่าท่านหยางลู่ฉานของเราจะมีโอกาสแจ้งเกิดในวังหลวงหรือเปล่า



อันที่จริงตระกูลจางนับว่ามีคุณูปการใหญ่หลวงต่อพัฒนาการของมวยไท่เก๊กในยุคนี้มากทีเดียว แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่วิชามวยไท่เก๊กที่หยางลู่ฉานถ่ายทอดไว้ให้กับตระกูลจางไม่ค่อยได้เผยแพร่ออกไป ซ้ำภายหลังยังขาดการสืบทอดเสียอีก

ที่ว่าตระกูลจางมีส่วนสำคัญและสร้างจุดหักเหใหญ่ใหักับชีวิตของหยางลู่ฉานเนื่องเพราะความที่เป็นตระกูลเศรษฐีใหญ่ และมีความคุ้นเคยกับคนในราชตระกูล ไปมาหาสู่กันอยู่เสมอทีนี้มาวันหนึ่ง ตวนอ๋องพระองค์หนึ่งนามว่าองค์ชายไจ้อี ชื่อตวนอ๋องนี่เป็นชื่อตำแหน่ง ประมาณว่าเป็นฟ้าชายอะไรทำนองนั้น ตวนอ๋องไจ้อีท่านนี้บังเอิญว่ามาท่องเที่ยวล่าสัตว์ในละแวกบ้านตระกูลจาง ขากลับก็แวะพักจิบซีอิ๊ว เอ๊ย..จิบเต๊อยู่ที่บ้านใหญ่นี่

ตวนอ๋องท่านนี้นอกจากโปรดปรานการเข้าป่าล่าสัตว์ยิงธนู แล้วก็ยังโปรดปรานวิชาบู๊ วิทยายุทธ์หมัดมวยทุกประเภท การที่ท่านมาพักอยู่ที่บ้านตระกูลจางนี่ก็เหมือนชะตากรรมนำพาให้ท่านได้มาพบกับยอดยุทธ์หยางลู่ฉาน และการพบกันครั้งนี้ก็ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่อยู่ไม่น้อยจริงๆ เพราะท่านตวนอ๋องเกิดพอใครครูมวยหยางผู้นี้ขึ้นมาและต้องการให้หยางลู่ฉานเข้าวังไปสอนวิชาให้กับท่านและไปพักอยู่ในวังเสียเลย ที่กลายเป็นเรื่องราวขึ้นเพราะทางตระกูลจางซึ่งเป็นผู้อุปการะหยางลู่ฉานมาแต่แรกย่อมไม่ยินยอม อีกทั้งถือว่าตนเองก็มีอิทธิพลอยู่ในแวดวงการเมืองมิใช่น้อย ต่อให้เป็นตวนอ๋องก็ไม่สามารถมารังแก แย่งคนกันซึ่งๆหน้าเช่นนี้ได้ พอเรื่องชักจะลุกลามใหญ่โตก็ได้ยินไปถึงผู้สำเร็จราชการซึ่งเป็นบิดาบังเกิดเกล้าแท้ๆของฮ่องเต้กว่างสู ต้องออกมาช่วยไกล่เกลี่ยตัดสินให้ก่อนที่จะตายกันไปข้างหนึ่ง โดยท่านให้แบ่งหยางลู่ฉานกันไปฝ่ายละครึ่งเดือน ให้อยู่บ้านตระกูลจางครึ่งเดือน ไปอยู่ในวังตวนอ๋องครึ่งเดือนส่วนระหว่างครึ่งเดือนที่หยางลู่ฉานไม่อยู่นั้นก็ให้บุตรชายทั้งสองของหยางลู่ฉานคือหยางปันโหว(ค.ศ. 1837-1892) และหยางเจี้ยนโหว (ค.ศ. 1839-1917)เป็นผู้สอนแทน






รูปท่านหยางปันโหว บุตรชายของหยางลู่ฉานมีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1837-1892










ส่วนนี่คือรูปท่านหยางเจี้ยนโหว บุตรชายอีกคนหนึ่งของหยางลู่ฉาน มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1839-1917


ท่านหยางลู่ฉาน เมื่อเข้าวังไปก็ได้เป็นใหญ่เป็นโตทันทีครับ ได้รับตำแหน่งหัวหน้าครูฝึกของโรงฝึกแห่งราชสำนักในทันที ก็ย่อมยังความไม่พอใจแก่ครูมวยหลายๆ ท่านที่อยู่มากก่อนอย่างมากแต่คงไม่มีใครกล้าหือกับท่านหยางลู่ฉานเท่าใด เพราะท่านมาถึงก็มีตำแหน่งสูงกว่าแล้ว อีกทั้งยังมีศักดิ์ศรีเป็นพระอาจารย์ของตวนอ๋อง ขืนไปรุ่มร่ามอะไรอาจคอขาดไม่รู้ตัวได้ แต่กระนั้นก็ยังมีผู้หาโอกาสไปลองฝีมือกับบุตรชายทั้งสองของท่านหยางอยู่เนืองๆ แต่ก็อีกละครับลูกพยัคฆ์ก็ย่อมเป็นพยัคฆ์ แม้มีผู้มาหาเรื่องไม่น้อยแต่ก็ไม่มีผู้ใดเอาชนะบุตรชายทั้งสองของท่านหยางได้เลย จนแม้แต่บุตรชายของท่านหยางยังพลอยได้รับฉายาเป็นหยางอู๋ตี๊เหมือนพ่อไปด้วย ชื่อเสียงของหยางพ่อลูกก็ยิ่งขจรขจายออกไป และมวยของท่านก็ได้ถูกเรียกเป็นมวยไท่เก๊กตระกูลหยาง เป็นมวยไท่เก๊กสายหนึ่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ

นอกจากตวนอ๋องซึ่งมีพระนามว่าองค์ชายไจ้อีแล้ว ต่อมาองค์ชายไจ้จือซึ่งมีศักดิ์เป็นพระอนุชาขององค์ชายไจ้อีกก็ได้มากราบอาจารย์ขอเรียนด้วยอีกพระองค์ บางตำราก็ว่าบรรดาองค์ชายมาเรียนกันถึงแปดพระองค์ด้วยซ้ำ เอาตำราเดิมก่อน เขาเล่าว่าเมื่อองค์ชายทั้งสองได้ร่ำเรียนวิชามวยจนมีฝีมือสูงกว่าเหล่าองครักษ์ ก็รู้สึกขัดอกขัดใจว่าหากองครักษ์ที่เป็นบอดี้การ์ดคุ้มครองพระองค์ยังมีฝีมือต่ำต้อยกว่าพระองค์เอง ขืนเจอโจรผู้ร้ายแทนที่จะให้องครักษ์เข้ามาช่วยเหลือปกป้อง แต่สงสัยองค์ชายคงต้องไปคอยช่วยคุ้มครององครักษ์แทนกระมัง ก็ไปปรึกษาพระอาจารย์หยาง ท่านพระอาจารย์หยางลู่ฉานก็รู้ทันองค์ชายว่าที่แท้ก็อยากให้ช่วยสอนองครักษ์ให้ด้วย ท่านก็ยินดี ลูบเครายิ้มมุมปากเล็กน้อยพอไม่ให้เสียกริยา แล้วก็ให้เรียกเหล่าองครักษ์มากราบหยางปันโหวบุตรชายของท่านหยางลู่ฉานเป็นอาจารย์ ทั้งนี้ก็เป็นเรื่องของศักดินาครับ องครักษ์มีศักดิ์เป็นศิษย์น้องขององค์ชายดูจะไม่เหมาะ ก็เลยให้กราบลูกชายแทน จะได้มีศักดิ์ต่ำลงไปอีกหนึ่งรุ่น องครักษ์รุ่นแรกที่มาเรียนมวยไท่เก๊กนั้นก็มีกันอยู่สามคน ชื่อว่า หลิงซาน เป็นชาวแมนจู เฉวียนโหย่ว ชาวมองโกล และว่านชุนหรือจูว่านชุน ซึ่งเป็นอดีตเชื้อพระวงศ์ชาวฮั่น โรงเรียนมวยไท่เก๊กอินเตอร์ฯ ก็เปิดทำการด้วยประการฉะนี้

จากจุดนี้มวยไท่เก๊กก็เริ่มถูกถ่ายทอดออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งภายหลังลูกหลานของท่านหยางลู่ฉาน ออกมาเปิดสำนักสอนมวยให้แก่บุคคลทั่วไป และยังเดินสายสอนไปทั่ว ก็ยิ่งทำให้มวยไท่เก๊กตระกูลหยางนี้แพร่หลายไปทั่วประเทศจีนในที่สุด

No comments: