โดย ปีเตอร์ คาซิน ตามคำบรรยายของ อ.มาลอน หม่า
เป็นเรื่องที่น่าแปลกอย่างหนึ่งคือ มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้อย่างมากมาย เกี่ยวกับการฝึกไท้เก๊กแต่กลับมีการบันทึกกล่าวถึงการฝึก “หม่าปู้” น้อยมาก.
ในหมู่คนที่ฝึกไท้เก๊กหรือฝึกศิลปการป้องกันตัวแบบมวยจีน จะรู้จักกันดีว่า “หม่าปู้” คืออะไร. ยกตัวอย่าง เขาจะรู้ว่า หม่าปู้เป็นท่าออกกำลังกายที่พัฒนากำลังขา ถ้าตั้งท่าได้ถูกต้องตามแบบแผน จะเป็นการเสริมสร้างธาตุไฟภายในร่างกาย และทำให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตดี ผมแน่ใจว่า สาเหตุที่ท่าหม่าปู้ มีการบันทึกไว้น้อยมากเพราะว่า ผู้ฝึกท่าหม่าปู้ ส่วนมากไม่รู้หรือไม่ก็ไม่เข้าใจถึงความซับซ้อนและประโยชน์ของการฝึกหม่าปู้อย่างแท้จริง, โดยแนะนำว่าควรจะทำท่านั้นนานจนกระทั่งตัวสั่น และรู้สึกปวดจนทนไม่ไหว, บางคนก็แนะนำว่า ควรจะทำท่าหนึ่งนาน 20-30นาที สำหรับผู้ฝึกท่าหม่าปู้โดยทั่วไป และประมาณ 1 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นสำหรับผู้ฝึกที่มีความชำนาญแล้ว, อีกทางหนึ่งที่สามารถทำได้ คือ ให้ทำท่าพื้นฐาน ก่อน (ตามรูปที่ 1) แล้วค่อยๆ พลิกแพลงไปเรื่อยๆ ในท่าใหม่ๆ เช่น กระแทกเท้า เตะ หรือปิดขาทั้ง 2 ข้างตามลำดับ ซึ่งถือว่าเป็นท่าหม่าปู้ทั้งสิ้น.
ปัญหาที่มักเกิดขึ้นในใจของผู้ฝึกตามมา ก็คือท่าหม่าปู้ที่ถูกต้อง คืออะไร ? และควรจะออกแต่ละท่านานแค่ไหน เพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์ในการตอบคำเหล่านี้ เราจะต้องพิจารณาสาเหตุและผลกระทบที่มีต่อร่างกายในขณะที่กำลังกายและก่อน ก็เหมือนกับท่าเคลื่อนไหวไท้เก๊ก ที่เป็นการผสมผสานศิลปท่าการต่อสู้แบบ โบราณ กับท่าออกกำลังเพื่อสุขภาพ หม่าปู้ ก็เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่าง อ.หม่า จะให้ผู้ฝึกที่สนฝึกไท่เก๊กกับกังฟู มาเริ่มต้นฝึกท่าหม่าปู้ อ.หม่าเชื่อว่าสุขภาพที่ดี ต้องมาจากกำลังขาดี ซึ่งในกระบวนการของการพัฒนาขาทั้ง 2 ข้างให้มีกำลังดีอย่างถูกต้องเหมาะสม จะทำให้ อวัยวะต่างๆ ทั้งร่างกายได้รับประโยชน์ไปด้วย รวมทั้งการไหลเวียน ของโลหิตเพราะการฝึกมวยจีนทุกรูปแบบ จะประกอบด้วยท่าที่ฝึกขาทั้ง 2 ข้างไปในระดับใด ระดับหนึ่งทั้งสิ้นดังนั้นการมีกำลังขาที่แข็งแรง จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือเหตุผลว่า ทำไมผู้ฝึกมวยจีนแบบต่างๆ ส่วนใหญ่จะมาฝึกหม่าปู้ด้วย เพราะท่าเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องและท่าของหม่าปู้ มีความสอดคล้องกัน เป็นประโยชน์กับการฝึกท่ามวย ในแบบอื่นๆมีเหตุผลพื้นฐาน ๒ ประการที่สนับสนุนคำกล่าวนี้ ประการแรก ท่าหม่าปู้ มีส่วนสนับสนุนให้พัฒนากำลังขาทั้งสอง และยังช่วยสมดุล ทางกายภาพ อีกด้วยประการที่สอง คือ การมีกำลังขาที่ดีมากเท่าไร จะทำให้ผู้ฝึกยืนได้มั่นคง และมีการทรงตัวที่ดี จะทำให้รำมวย ได้อย่างนุ่มนวลและต่อเนื่องได้ดียิ่งขึ้น คำกล่าวนี้สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนกับผู้ที่มาฝึกหม่าปู้ ที่มีอายุมาก แล้ว คนอายุมาก จะไม่ค่อย มั่นใจในตัวเองในเรื่องการทรงตัว และการยืนอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ แต่ถ้าผู้ฝึก กำลังรู้สึกมั่นคง ในการยืนและรู้สึกสามารถควบคุมการทรงตัวได้เมื่อไร ความรู้สึกงุ่มง่ามในการรักษาสมดุลย์ทาง กายภาพตัวเองจะหมดไปผลรับโดยรวมที่ผู้ฝึกจะได้รับ ไม่เพียงแต่จะรู้สึกมั่นใจในการเคลื่อนไหว ของตัวเองเท่านั้นแต่จะรู้สึกมั่นใจในในการสั่งการตัวเอง ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน อีกด้วย.แล้วการฝึกให้เกิดความมั่นใจ ความแข็งแรง และความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว ของร่างกายมาใช้เป็นเป้าหมายของการฝึกไท้เก๊กและกังฟู ด้วยหรือ? คำตอบคือ ใช่อย่างแน่นอนทั้งหมดนี้เป็นธรรมชาตของการฝึกไท้เก๊กและกังฟูด้วย. เพราะสิ่งสำคัญ ที่จะได้รับจากการฝึกคือความผ่อนคลายและความคล่องตัว เมื่อไรก็ตามที่ร่างกายของเราสามารถเคลื่อนไหวได้ อย่างอิสระ ไม่ติดขัดเคลื่อนไหวได้อย่างนุ่มนวลและผ่อนคลาย จะทำให้ภายในส่วนที่เรียกว่า “ชี่” สามารถ ไหลเวียนได้อย่างติดขัด ไม่ถูกกีดขวาง และเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ฝึกจะได้รับผลที่ดีที่สุด จากการใช้เวลาในระหว่างฝึกหม่าปู้เราจะต้องศึกษาท่าหม่าปู้ ให้ดี รวมทั้งความซับซ้อนทางกายภาพของแต่ละท่าที่ร่างกายเราจะต้องทำหม่าปู้ที่ถูกต้องจะต้องปิดเข่าทั้ง ๒ ข้าง เพื่อให้น่องทั้ง ๒ ข้างอยู่ในระดับแนวเดียวกัน ร่างกายส่วนบนต้องตั้งตรง (ภาพ ๑) การวางเท้าให้ถูกต้องเป็นสิ่ง สำคัญอย่างยิ่งยวด ในการออกท่าต่าง ๆของหม่าปู้ (ดูภาพ ๓) เป้าหมายของท่าหม่าปู้ท่านี้คือ เพื่อเปิดระบบภายในของร่างกายส่วนหลัง ตอนล่างคือส่วนช่องว่างระหว่างกระดูกที่เรียกว่า ซัคครัม, คอคซิค และกระดูกสะโพก (ตามภาพ ๕)คนเราเมื่ออายุมากขึ้น และไม่ค่อยออกกำลังกาย กระดูกสะโพก, ซัคครัม, และคอคซิค มีแนวโน้มจะเคลื่อนเข้าหากัน อาการดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับคนที่มีร่างกายอ่อนแอ และคนที่เป็นโรคไขข้ออักเสบ และแม้แต่คนที่มีร่างกายปกติ แต่ด้วยกาลเวลาและอายุที่เปลี่ยนไป กระดูกทั้ง 3ชิ้นดังกล่าวก็มีแนวโน้มว่าจะพยายามเคลื่อนเข้าหากันอยู่แล้ว ผลกระทบของความเสื่อมโทรมของ กระดูกทั้ง 3ชิ้นนี้ ทำให้ร่างกายสูญเสียการเคลื่อนไหวที่ดี ขาดความยืดหยุ่น และมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เป็นโรคไขข้อเสื่อมได้ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงผลร้ายนี้ จึงมีความจำเป็นที่เราควรจะต้องวางเท้าทั้งสองให้ถูกต้องตามตัวอย่าง (ภาพ 3) เพราะการวางเท้าในลักษณะนี้จะทำให้กระดูกทั้ง 3 ชิ้นคือกระดูกสะโพก, ซัคครัม, และคอคซิค มีความยืดหยุ่นและอ่อนตัว ไม่แข็งกระด้างและเกร็งแม้การแพทย์แผนปัจจุบันก็สนับสนุนการเคลื่อนไหว และการออกกำลังกายว่าเป็นวิธีที่ป้องกันการเป็นโรคไขข้ออักเสบที่ดีที่สุด และยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความรุนแรงของอาการของคนที่เป็นโรคไขข้ออักเสบ ในขณะที่คนเราอยู่ในท่านั่งที่มีการวางเท้าทั้งสองอย่างถูกต้อง ร่างกายส่วนล่างของเราจะมีความยืดหยุ่นและผ่อนคลาย ลองสำรวจร่างกายตรงส่วนก้น (ภาพ 4) เราจะสังเกได้อย่างชัดเจนถึงความสัมพันธ์ของรายละเอียดของโครงสร้างภายในของร่างกายส่วนนี้ทางด้านหลัง คนที่เป็น SIFU ที่เป็นที่รู้จักอยู่หลายคน จะวางเท้าทั้งสองตามภาพตัวอย่างที่ 2ซึ่งจะเห็นว่าข้อเท้าทั้งสองหักมุมเฉียงไม่ขนานกัน ซึ่งการทำอย่างนี้จะอยู่ในลักษณะเดียวกับกระดูกสะโพกอยู่ในขณะที่เรากำลังวางเท้าเช่นนั้น คือ กระดูกสะโพกทั้งสองข้าง จะบีบเข้าด้านในไปอัดกระดูกซัคครัมและคอคซิค ซึ่งสภาพอย่างนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะทำให้ร่างกายด้านหลังส่วนล่างเกิดบาดเจ็บขึ้น ซึ่งบริเวณของร่างกายส่วนนี้จะง่ายต่อการเกิดบาดเจ็บ ในขณะเดียวกันก็รักษาได้ ไม่ยากตรงจุดนี้ผมขอแนะนำให้ผู้อ่นลองยืนขึ้น แล้วจัดวางเท้าทั้งสอง ตามภาพที่ 2 แล้วคุณจะรู้สึกว่ากระดูกสะโพกทั้งสอง กำลังบีบอัดกระดูกซัคครัมอยู่ ต่อจากนั้นลองจัดวางเท้าใหม่ตามภาพ หมายเลข 3คุณจะสามารถรู้สึกว่ากระดูกสะโพกทั้งสองจะถูกดึงออกห่างจากกระดูกซัคครัม ซึ่งการเคลื่อนไหวในท่าเช่นนี้มีความสำคัญมากสำหรับผู้ฝึกหม่าปู้ เพราะเมื่อเราจัดวางเท้าได้ถูกต้อง กระดูกเชิงกรานจะผ่อนคลายจากกระดูกซัคครัม และกระดูกคอคซิค มีผลทำให้เกิดความยืดหยุ่นอย่างมาก ตามข้อต่อภายในและทำให้สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระ เราลองสังเกตเวลาเด็กเล่นกันจะเห็นได้ว่าบริเวณส่วนสะโพกและหลังของเด็ก มีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งลักษณะดังกล่าวเป็นเครื่องบ่งชี้ว่ามีสุขภาพดี มีอายุยืนยาว และเป็นเครื่องบ่งบอกว่าจะกังฟูได้ก้าวหน้าเร็ว แต่ประโยชน์ของการฝึกหม่าปู้ ไม่ใช่จำกัดอยู่เพียงแค่เพื่อต้องการให้มีความผ่อนคลายร่างกายส่วนล่างด้านหลังเท่านั้น เมื่อไรก็ตามที่ผู้ฝึกรู้สึกว่า ขาทั้งสองตึง แสดงว่าธาตุไฟในร่างกายกำลังสูงขึ้น โดยภาพรวมภายในร่างกายกำลังมีความร้อนเกิดขึ้น ความร้อนนี้จะไปกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ตลอดจนระบบการไหลเวียนของโลหิตก็ดีขึ้น การไหลเวียนของโลหิตที่ดีจำเป็นที่ร่างกายของเราจะต้องรักษาอุณหภูมิไว้ให้ได้ และต้องทำให้ร่างกายโดยรวมเย็นลงได้ถ้าเกิดกรณีความร้อนขึ้นสูงมากเกิน ซึ่งสภาพเช่นนี้จะช่วยให้ร่างกายโดยรวมสามารถสร้างเซลส์ ใหม่ๆขึ้นมาได้ และเป็นการเสริมสร้างสุขภาพให้ดีขึ้นด้วย (ประโยชน์ของการสร้างเซลส์ใหม่และการเสริมสร้างสุขภาพให้ดีขึ้น จะกล่าวในเอกสารแยกต่างหากในภายหลัง) และไม่เพียงแต่กล้ามเนื้อขาทั้งสอง ที่จะมีพลังมากขึ้นเท่านั้น แต่สุขภาพโดยรวมก็จะ ดีขึ้นด้วยแต่แน่นอนว่าสำหรับผู้เริ่มฝึกหม่าปู้ จะยังไม่สามารถนั่งท่าหม่าปู้จนเป็น “นั่งฉาก” ดังรูป 1 ได้เพราะท่านี้จะต้องใช้เวลาและความพยายามในการฝึกฝนพอสมควร. ขั้นตอนแรกของผู้เริ่มฝึกคือควรจะรักษาการวางร่างกายส่วนบนให้ถูกต้องคือ การวางร่างกายส่วนบนให้ถูกต้องคือ ตั้งตรง ให้ได้และพยายามบิดหัวเข่าทั้งสองเข้าหาเพื่อให้เท้าทั้งสองวางขนานกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้สำหรับบางคนอาจจะบิดหัวเข่าเพียงเล็กน้อย เท้าทั้งสองข้างก็วางได้ถูกต้องแล้ว แต่สำหรับบางคนอาจจะต้องบิดหัวเข่ามากสักหน่อยจึงทำให้เท้าทั้งสองข้างวางได้ขนานตรงไปข้างหน้าได้ ทั้งสองอย่าง นี้ผู้ฝึกหม่าปู้ทุกคนจะต้องฝึกให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไร หรือต้องใช้ความพยายามในการฝึกแค่ไหนก็ตาม อย่างไรก็ตามถึงตอนนี้ เราก็ยังไม่ได้ตอบคำถามเริ่มแรกที่ถามเอาไว้ตอนต้นว่าการฝึกหม่าปู้แต่ละครั้งจะต้องใช้เวลาเท่าไร? และต้องทนอยู่ในท่าหนึ่งๆ นานเท่าไร? ก่อนอื่นผมขอตั้งคำถามสัก 2 ข้อในที่นี้ คือ 1. มีความแตกต่างกันอย่างไรระหว่างการวิ่งออกกำลังกายทุกวัน ๆ ละ 3 ไมล์10 ไมล์ หรือ 20 ไมล์ 2. ประโยชน์ที่ได้รับและผลต่อเนื่องที่จะตามมามีอะไรบ้างจากการออกกำลังกายดังกล่าว? เชื่อว่าไม่มีใครจะตอบคำถามทั้งสองข้อนี้ได้ นอกจากตัวคุณเอง คุณจะต้องพิจารณาศักยภาพของตัวคุณเองและพิจารณาว่าว่าอะไรที่ดีที่สุดสำหรับร่างกายของคุณ คำตอบที่สำคัญในที่นี้คือคำว่า “ศักยภาพ (Limit) คุณลองคิดดูว่าบ่อยครั้งแค่ไหนที่คุณไปที่เฮลซ์คลับแล้วได้ยินครูฝึกที่เฮลส์คลับพยายามพูดชักชวนให้ผู้มาออกกำลังกาย ทำเกินศักยภาพของตัวเองบ้างสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการออกกำลังกายเกินศักยภาพของตัวเองคือ กล้างเนื้อจะมีความตึงเครียดมากเกินไป มีอาการบวมและอ่อนล้า แต่ก็มีเฮลท์คลับหลายแห่งที่เชื่อว่าการออกกำลังกายจนกล้ามเนื้อเกิดอาการบวมขึ้นมา คือเป้าหมายของการออกกำลังกาย แต่สำหรับการออกกำลังกายในศิลป มวยจีนทุกประเภทถือว่าอาการบวมและอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อไม่ใช่สิ่งที่พึงประสงค์แต่ถึงว่าเป็นความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้น เพราะเป็นการลดความคล่องตัวและความยืดหยุ่น ลดความไวในการตอบสนอง การป้องกันตัวเองและการจู่โจม ยิ่งไปกว่านั้น การเกิดความตึงเครียดขึ้นตามร่างกายจนเป็นเหตุให้อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อไปลดความบอบช้ำที่เกิดขึ้นในร่างกายในขณะนั้น ในการฝึกไท้เก็ก และกังฟู ผู้รับการฝึกจะถูกสอนให้ฝึกจนถึงขีดสูงสุดของศักยภาพของตัวเอง เพราะเมื่อคน ๆ หนึ่ง สามารถฝึกอย่างอดทนและฝึกฝนสม่ำเสมอ ศักยภาพที่มีอยู่จะเพิ่มขึ้นเอง ซึ่งจะส่งผลให้การออกท่าเคลื่อนไหว ต่าง ๆ ทำได้มากขึ้นและมีความทนที่จะตั้งท่าในแต่ละท่าได้นานขึ้นด้วย เราสามารถพูดโดยรวม ๆ ในที่นี้ว่า ทุกคนจะต้องพิจารณา ศักยภาพ ของตัวเอง ในการ ออก กำลังกาย แต่ในที่สุดเราก็ยังไม่ได้ ตอบคำถามที่ถามเอาไว้ว่าเราควรจะต้องออกในแต่ละท่า นานเท่าไร? เราได้เห็นแล้วว่าประโยชน์พื้นฐานที่ได้รับจากท่าหม่าปู้คือ ความผ่อนคลายของ ร่างกาย ส่วนล่างด้านหลังและช่วยพัฒนา กำลังขาทั้งสองได้อย่างมาก รวมถึงทำให้อวัยวะภายใน แข็งแรงขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าให้เส้นเอ็นต่าง ๆ ของร่างกายด้านหลัง ส่วนล่างตึงเกินไป หรือ ทำให้เกิดกระทบหรือขัดสีกันของกระดูกที่กล่าว มา ข้างต้นทั้ง 3 ชิ้น ท่าออกกำลังแบบหม่าปู้ แต่ละท่า ถ้าออกนานเกินไปสามารถทำให้ร่างกายตึงเกินไปได้ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้า และอวัยวะภายใน ทำงานหนักเกินไปสามารถทำให้เกิดอาการบวมแดงของเส้นเอ็นต่าง ๆ ในร่างกายและของข้อต่อได้ ข้อสรุปในเบื้องต้น ในกรณีนี้คือ เราจะต้องยกเลิกความคิดที่ว่า “ถ้าไม่เสียอะไรไป จะไม่ได้อะไรมา” เพราะถ้าพูดในนัยของการออกกำลังฝึกหม่าปู้แล้ว ถ้าเกิดอาการปวดขึ้นแล้ว ถือว่าเป็นปัญหารุนแรง ที่เกิดขึ้นในส่วนหลัง หรืออาจจะเกิดบาดเจ็บที่หัวเข่า หรือเป็นทั้งสองอย่างได้ ผู้ฝึกใหม่ควรจะฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างมีความอดทน โดยในเบื้องต้น แต่ละท่า ควรจะใช้เวลา 1 นาทีทำท่าละ 5 ครั้ง นานครั้งละ 1 นาที และพักก่อนทำครั้งต่อไปนานประมาณ 1-3 นาที ในระหว่างการทำแต่ละครั้งความโดดเด่นของการฝึกหม่าปู้คือ การสร้างพลังให้กับร่ายทั้งร่างไม่ใช่แค่ส่วนขาหรือพัฒนาส่วนกล้ามเนื้อเท่านั้น การเคลื่อนไหวแต่ละท่าอย่างถูกต้องจะส่งเสริม ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ฝึกมากที่สุด ในหลายกรณี ระยะเวลาที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ฝึกหม่าปู้ที่ชำนาญแล้วควรอยู่ที่ประมาณ 5 นาที และ 5 ครั้ง ซึ่งจะได้ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจมากที่สุด.
โดยคุณซือตี๋ 5 ส.ค. 2545 บอร์ดไทจี๋ครับ
Saturday, October 29, 2005
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment